ธุรกิจการผลิต
เป็นธุรกิจที่นำวัตถุดิบมาแปรรูปให้เป็นสินค้าสำเร็จรูปโดยใช้แรงงานและค่าใช้จ่ายการผลิตอื่นๆ ธุรกิจการผลิต จะมีรายการทางบัญชี สำหรับบันทึกต้นทุนการผลิตเพิ่มขั้นนอกเหนือจากรายการด้วยการขายและดำเนินงาน
องค์ประกอบของต้นทุนการผลิต
ประกอบด้วย วัตถุทางตรง ค่าแรงงานทางตรง และค่าใช้จ่ายในการผลิต
วัตถุทางตรง
หมายถึง วัตถุที่ใช้ในการผลิตสินค้านั้นโดยตรง และสามารถระบุ ชัดเจนว่าเป็นส่วนสำคัญของการผลิตสินค้า วัตถุทางตรงจะรวมถึงชิ้นส่วนประกอบ ซึ่งจะถูกประกบเป็นผลิตภัณฑ์
วัตถุทั้งหมดที่ใช้ในกระบวนการผลิตไม่จำเป็นต้องเป็นวัตถุดิบทางตรงทั้งหมด มีวัตถุดิบหลายชนิดที่มีต้นทุนเพียงเล็กน้อย และไม่สามารถระบุเจาะจงลงไปได้ว่าเป็นส่วนสำคัญของสินค้า ซึ่งวัตถุดิบเหล่านี้ถูกจัดเป็นวัตถุทางอ้อมและจะถูกรวมเป็นส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายในการผลิต
ค่าแรงทางตรง
หมายถึง ค่าแรงของคนงานทั้งหมดที่ทำงานในการผลิตสินค้าโดยตรง ค่าแรงงานในโรงงานทั้งหมดก็ไม่ถือเป็นค่าแรงทางตรง ค่าจ้างของพนักงานในกระบวนการผลิตแต่ไม่ได้ทำการผลิตสินค้าโดยตรง จึงถูกจัดประเภทเป็นค่าแรงทางอ้อม และรวมเป็นค่าใช้จ่ายในการผลิต
ค่าใช้จ่ายในการผลิต
หมายถึงต้นทุนในการผลิตทั้งหมดที่ไม่ถูกจัดเป็นประเภทวัตถุทางตรง หรือค่าแรงทางตรง โดยทั่วไปค่าใช้จ่ายในการผลิตรวมถึง
- วัตถุทางอ้อม
- ค่าแรงทางอ้อม
- ค่าสาธารณูปโภค
- ค่าซ่อมแซมและบำรุงรักษาอุปกรณ์ภายในโรงงาน
- ค่าเสื่อมราคาเครื่องจักร อาคาร และอุปกรณ์ของโรงงาน
- ค่าภาษีโรงเรือนอาคารโรงงาน
- ค่าประกันภัยของเครื่องจักร อุปกรณ์ และอาคารโรงงาน
- ค่าเช่าอาคารโรงงานหรือเครื่องจักร
สินค้าคงเหลือของธุรกิจผลิต
ธุรกิจผลิตจะมีสินค้าคงเหลือ 3 ชนิด คือ (1) วัตถุดิบคงเหลือ (2) สินค้าระหว่างทำคงเหลือ (3) สินค้าสำเร็จรูปคงเหลือ
วัตถุดิบคงเหลือ
หมายถึง ต้นทุนของวัตถุดิบที่มีอยู่ในมือ และเพื่อนำไปใช้ในการผลิต ในบางครั้งวัตถุดิบคงเหลือของธุรกิจหนึ่ง อาจถือเป็นสินค้าสำเร็จรูปของอีกธุรกิจหนึ่งก็ได้
งานระหว่างทำ
หมายถึง ต้นทุนของสินค้าที่อยู่ในกระบวนการผลิต ซึ่งยังผลิตไม่เสร็จเป็นสินค้าสำเร็จรูป
สินค้าสำเร็จรูปคงเหลือ
หมายถึงต้นทุนของสินค้าที่ผลิตเสร็จสมบูรณ์แล้ว และพร้อมที่จะนำออกจำหน่าย โดยจะแสดงถึงมูลค่าที่สมบูรณ์ของสินค้าที่อยู่ในมือ ณ วันสิ้นงวด
งบการเงินของธุรกิจผลิต
งบกำไรขาดทุนของธุรกิจซื้อขายสินค้า และธุรกิจการผลิตจะแตกต่างกันในส่วนของต้นทุนสินค้าขาย
บริษัทขายสินค้า
|
บริษัทผลิตสินค้า
|
สินค้าคงเหลือต้นงวด
+ ซื้อสุทธิระหว่างงวด
= ต้นทุนสินค้าที่มีไว้เพื่อขาย
- สินค้าคงเหลือปลายงวด
= ต้นทุนสินค้าที่ขาย
|
สินค้าสำเร็จรูปต้นงวด
+ ต้นทุนการผลิตระหว่างงวด
= ต้นทุนสินค้าที่มีไว้เพื่อขาย
- สินค้าสำเร็จรูปปลายงวด
= ต้นทุนสินค้าที่ขาย
|
การคำนวณต้นทุนผลิตระหว่างงวด จะไม่นำมาแสดงไว้ในงบกำไรขาดทุน แต่จะแสดงแยกไว้ในอีกงบหนึ่งเรียกว่า งบต้นทุนการผลิต
ต้นทุนการผลิตจะแสดงต้นทุนรวมของสินค้าทุกหน่วยที่ผลิตเสร็จระหว่างงวด โดยเมื่อสินค้าบางหน่วยถูกผลิตเสร็จในงวดนี้ ซึ่งเป็นสินค้าที่ได้ทำการผลิตทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างงวด จากนั้นหักด้วยงานระหว่างทำปลายงวด ก็จะได้ต้นทุนการผลิตของงวดนี้
ระบบบัญชีต้นทุน
วัตถุประสงค์ที่สำคัญของระบบบัญชีต้นทุน คือ ต้องจัดหาข้อมูลที่จำเป็นในการบริหารเพื่อใช้ในการวางแผน ควบคุม และการตัดสินใจ และการกำหนดต้นทุนในการผลิตสินค้าแต่ละหน่วย ซึ่งจะทำได้โดยการรวบรวมต้นทุนทั้งหมดตลอดงวดเวลาหนึ่ง (ปกติ 1 เดือน) แล้วหารด้วยจำนวนของสินค้าที่ผลิตได้ทั้งหมดในงวดนั้น
เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์จะต้องมีระบบบัญชีต้นทุนอยู่ 2 ประเภท คือ ระบบบัญชีต้นทุนงานสั่งทำ และระบบบัญชีต้นทุนช่วง ซึ่งระบบบัญชีทั้ง 2ประเภทจะใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลต้นทุนในการผลิตเพื่อหาต้นทุนของสินค้าสำเร็จรูป
ระบบต้นทุนงานสั่งทำ
ระบบต้นทุนงานสั่งทำถูกออกแบบมาเพื่อรวบรวมข้อมูลของบริษัทที่ผลิตสินค้าตามความต้องการของลูกค้าแต่ละราย วิธีนี้ถูกใช้บริษัทที่ผลิตสินค้าตามความต้องการของลูกค้าหรือผลิตตามคำสั่งของลูกค้า
วิธีต้นทุนงานสั่งทำจะเน้นที่งานแต่ละงาน ดังนั้นในการเก็บรวบรวมข้อมูลต้นทุน จะเก็บรวบรวมเป็นงานๆ ไป
ระบบต้นทุนช่วง
ระบบต้นทุนช่วงถูกออกแบบมาเพื่อรวบรวมข้อมูลต้นทุนของกิจการซึ่งมีการผลิตเป็นจำนวนมาก และมีขั้นตอนการผลิตที่ต่อเนื่องเป็นลำดับขั้น ซึ่งต้นทุนแต่ละแผนกจะถูกเก็บรวบรวมโดยแผนกนั้นๆ แยกจากกันมากกว่าที่จะเก็บข้อมูลเป็นงานๆ เหมือนกับต้นทุนงานสั่งทำ ณ วันสิ้นงวดบัญชี ต้นทุนรวมจะเท่ากับจำนวนรวมของต้นทุนทั้งหมดที่ถูกเก็บไว้ในแต่ละแผนก ต้นทุนต่อหน่วยจะถูกคำนวณโดยการนำต้นทุนการผลิตรวมหารด้วยจำนวนของหน่วยที่ผลิต
การบันทึกบัญชีสำหรับธุรกิจการผลิต
การบันทึกบัญชีสำหรับธุรกิจการผลิตเพื่อใช้ในการสะสมต้นทุนมี 2 วิธี คือ การสะสมต้นทุนแบบสิ้นงวดและการสะสมต้นทุนแบบต่อเนื่อง
การสะสมต้นทุนแบบสิ้นงวด
การบันทึกบัญชีจะไม่บันทึกบัญชีสินค้าคงเหลือระหว่างงวดคือ บัญชีวัตถุดิบ งานระหว่างทำและสินค้าสำเร็จรูป แต่จะบันทึกในบัญชีซื้อวัตถุดิบ บัญชีค่าแรงทางตรง และบัญชีค่าใช้จ่ายการผลิตประเภทต่างๆ ในตอนสิ้นงวดจะมีการตรวจนับวัตถุดิบปลายงวด งานระหว่างทำปลายงวด และสินค้าสำเร็จรูปปลายงวด เพื่อคำนวณหาต้นทุนการผลิต และต้นทุนสินค้าผลิตเสร็จ ซึ่งการบันทึกบัญชีตามวิธีนี้จะไม่ทราบต้นทุนสินค้าขายในทันที แต่จะต้องตรวจนับสินค้าคงเหลือปลายงวดก่อน ดังนั้นการสะสมต้นทุนวิธีนี้จึงไม่เหมาะสำหรับกิจการที่ต้องการใช้ข้อมูลทางการบัญชีต้นทุนไปใช้ในการบริหารงาน แต่ก็เหมาะสมสำหรับกิจกรรมขนาดเล็กที่ไม่จำเป็นต้องใช้ข้อมูลในการบริหารงาน
ตัวอย่าง 1
บริษัท เสรีการผลิต จำกัด เป็นกิจการผลิตแปรสภาพวัตถุดิบ ให้เป็นสินค้าสำเร็จรูป ในวันที่ 1 ธันวาคม 25x4 ในบัญชีสินค้าคงเหลือ มีดังนี้ วัตถุดิบ 38,000 บาท งานระหว่างทำ 82,000 บาท และสินค้าสำเร็จรูป 45,000 บาท
ในระหว่างเดือนแผนกจัดซื้อของบริษัทฯ ได้ซื้อวัตถุดิบ เป็นเงินเชื่อทั้งสิ้น 150,000 บาท และแผนกผลิตได้เบิกวัตถุดิบไปใช้ในการผลิตจำนวน 162,000 บาท ค่าแรงที่เกิดขึ้นระหว่างเดือนมีทั้งสิ้น 282,000 บาท โดยในจำนวนนี้เป็นค่าแรงทางตรง 260,000 บาท และในระหว่างเดือนมีค่าไฟฟ้า จำนวน 3,000 บาท ค่าน้ำประปา 2,500 บาท ค่าเสื่อมราคาโรงงาน 78,000 บาท ค่าเบี้ยประกัน 2,000 บาท และค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดอื่นๆ อีก 3,500 บาท สินค้าจำนวน 562,000 บาท ผลิตเสร็จและโอนเข้าคลังสินค้าและขายสินค้า จำนวน 740,000 บาท เป็นเงินเชื่อ สินค้ามีต้นทุนเท่ากับ 532,000 บาท ตรวจนับสินค้าคงเหลือมีดังนี้ วัตถุดิบ 26,500 บาท งานระหว่างทำ 52,500 บาท และสินค้าสำเร็จรูป 75,000 บาท และมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเกิดขึ้นจำนวน 85,000 บาท
การบันทึกบัญชีแบบสิ้นงวด
1. เมื่อซื้อวัตถุดิบ บริษัท เสรีการผลิต จำกัด ซื้อวัตถุดิบทั้งสิ้นเป็นเงินเชื่อ 150,000 บาท บันทึกบัญชีดังนี้
เดบิต ซื้อวัตถุดิบ 150,000
เครดิต เจ้าหนี้การค้า 150,000
2. เมื่อเบิกวัตถุดิบไปใช้ในการผลิต เป็นการเบิกวัตถุดิบทางตรง จำนวน 100,000 บาท และวัตถุดิบทางอ้อม 62,000 บาท
*** ตามวิธีนี้จะไม่มีการบันทึกบัญชีตอนเบิกวัตถุดิบไปใช้ในการผลิต
3. ค่าแรงงเกิดขึ้นระหว่างงวด เป็นค่าแรงทางตรง 260,000 บาท เป็นค่าแรงทางอ้อม 22,000 บาท บันทึกบัญชีดังนี้
เดบิต ค่าแรง 282,000
เครดิต ค่าแรงค้างจ่าย 282,000
กระจายค่าแรงเข้างาน บันทึกดังนี้
เดบิต ค่าแรงทางตรง 260,000
ค่าแรงทางอ้อม 22,000
เครดิต ค่าแรง 282,000
4. ค่าใช้จ่ายในการผลิตต่างๆ ที่เกิดขึ้น
4.1 ค่าใช้จ่ายในการผลิตต่างๆ
เดบิต ค่าไฟฟ้า 3,000
ค่าน้ำประปา 2,500
ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด 3,500
เครดิต เงินสด 9,000
4.2 กรณีค่าเสื่อมราคา บันทึกโดยการปรับปรุง ดังนี้
เดบิต ค่าเสื่อมราคา-โรงงาน 78,000
เครดิต ค่าเสื่อมราคาสะสม-โรงงาน 78,000
กรณีค่าใช้จ่ายจ่ายล่วงหน้า
เดบิต ค่าเบี้ยประกัน 2,000
เครดิต ค่าเบี้ยประกันภัยจ่ายล่วงหน้า 2,000
5. โอนบัญชีต้นทุนต่างๆ เข้าบัญชีต้นทุนการผลิต
เดบิต ต้นทุนการผลิต 641,000
เครดิต วัตถุดิบ (ต้นงวด) 38,000
งานระหว่างทำ 82,000
ซื้อวัตถุดิบ 150,000
ค่าแรงทางตรง 260,000
ค่าแรงทางอ้อม 22,000
ค่าไฟฟ้า 3,000
ค่าน้ำประปา 2,500
ค่าเบี้ยประกัน 2,000
ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด 3,500
ค่าเสื่อมราคา-โรงงาน 78,000
6. บันทึกคงเหลือที่ตรวจนับได้ในวันสิ้นงวด
เดบิต วัตถุดิบทางตรง (ปลายงวด) 26,500
งานระหว่างทำ (ปลายงวด) 52,500
เครดิต ต้นทุนการผลิต 79,000
7. โอนสินค้าที่ผลิตเสร็จเข้าบัญชีสินค้าสำเร็จรูป
เดบิต ต้นทุนสินค้าสำเร็จรูป 562,000
เครดิต ต้นทุนการผลิต 562,000
8. บันทึกการขายสินค้า
เดบิต ลูกหนี้/เงินสด 740,000
เครดิต ขาย 740,000
*** แต่ตามวิธีนี้ไม่ต้องบันทึกต้นทุนสินค้าขาย
การสะสมต้นทุนแบบต่อเนื่อง
การสะสมต้นทุนโดยวิธีนี้กิจการจะเปิดบัญชีสินค้าคงเหลือ ซึ่งประกอบด้วยบัญชีวัตถุดิบ งานระหว่างทำ และสินค้าสำเร็จรูป ซึ่งจะทำให้กิจการทราบการเคลื่อนไหวของสินค้าคงเหลือตลอดเวลาเพื่อให้ฝ่ายบริหารได้ข้อมูลในการวางแผนและควบคุม ตามวิธีนี้จะทำให้กิจการทราบจำนวนสินค้าคงเหลือตลอดเวลา และทราบต้นทุนสินค้าที่ขายโดยดูได้จากบัญชีแยกประเภทของบัญชีดังกล่าว
การบันทึกบัญชีต้นทุนแบบต่อเนื่อง
จะมีบัญชีที่แตกต่างกับการบันทึกบัญชีแบบสิ้นงวด ดังนี้
1. วัตถุดิบจะบันทึกในบัญชีวัตถุดิบแทนที่จะบันทึกบัญชีซื้อวัตถุดิบ และเมื่อมีการเบิกวัตถุดิบ ก็จะเครดิตออกจากบัญชีวัตถุดิบด้วย
2. ค่าแรงนั้นบันทึกเช่นเดียวกับการบันทึกแบบสิ้นงวด
3. ค่าใช้จ่ายการผลิต ตามวิธีนี้ค่าใช้จ่ายการผลิตที่เกิดขึ้นจะรวบรวมไว้ในบัญชีคุมค่าใช้จ่ายการผลิต จากนั้นต้องโอนไปบัญชีงานระหว่างทำ
4. บัญชีงานระหว่างทำจะเป็นบัญชีที่ทำหน้าที่รวบรวมต้นทุนการผลิตซึ่งประกอบด้วย วัตถุทางตรง ค่าแรงทางตรง และค่าใช้จ่ายการผลิต เมื่อผลิตภัณฑ์ผลิตเสร็จก็จะโอนไปบัญชีสินค้าสำเร็จรูปส่วนที่เหลืออยู่ก็เป็นงานระหว่างทำปลายงวด
5. บัญชีสินค้าสำเร็จรูป เป็นบัญชีที่บันทึกผลิตภัณฑ์ที่ผลิตเสร็จ เมื่อสินค้าผลิตเสร็จแต่ยังไม่ขาย บัญชีนี้จะเป็นบัญชีสินทรัพย์ และเมื่อขายสินค้าจะเดบิตต้นทุนสินค้าขาย และเครดิตบัญชีสินค้าสำเร็จรูป
การบันทึกบัญชีแบบต่อเนื่อง
1. เมื่อซื้อวัตถุดิบ
เดบิต วัตถุดิบ 150,000
เครดิต เจ้าหนี้การค้า 150,000
2. เมื่อเบิกวัตถุดิบไปใช้ในการผลิต
เดบิต งานระหว่างทำ 100,000
ค่าใช้จ่ายการผลิต 62,000
เครดิต วัตถุดิบ 162,000
3. ค่าแรงที่เกิดขึ้นในระหว่างงวด
เดบิต ค่าแรง 282,000
เครดิต ค่าแรงค้างจ่าย 282,000
กระจายค่าแรงไปเป็นค่าแรงทางตรงและค่าแรงทางอ้อม ดังนี้
เดบิต งานระหว่างทำ 260,000
ค่าใช้จ่ายการผลิต 22,000
เครดิต ค่าแรง 282,000
4. ค่าใช้จ่ายการผลิตต่างๆ
4.1 กรณีค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่จ่ายเป็นเงินสดหรือเงินเชื่อ บันทึกบัญชี ดังนี้
เดบิต ค่าใช้จ่ายการผลิต 9,000
เครดิต เงินสด 9,000
4.2 กรณีค่าเสื่อมราคา บันทึกโดยการปรับปรุง ดังนี้
เดบิต ค่าใช้จ่ายการผลิต 78,000
เครดิต ค่าเสื่อมราคาสะสม-โรงงาน 78,000
4.3 กรณีค่าใช้จ่ายจ่ายล่วงหน้า
เดบิต ค่าใช้จ่ายการผลิต 2,000
เครดิต ค่าเบี้ยประกันจ่ายล่วงหน้า 2,000
5. โอนบัญชีค่าใช้จ่ายการผลิตเข้าบัญชีคุมงานระหว่างทำ
เดบิต งานระหว่างทำ 173,000
เครดิต ค่าใช้จ่ายการผลิต 173,000
6. โอนสินค้าที่ผลิตเสร็จเข้าบัญชีสินค้าสำเร็จรูป
เดบิต สินค้าสำเร็จรูป 562,000
เครดิต งานระหว่างทำ 562,000
7. บันทึกการขายสินค้า
เดบิต ลูกหนี้/เงินสด 740,000
เครดิต ขาย 740,000
เดบิต ต้นทุนสินค้าขาย 532,000
เครดิต สินค้าสำเร็จรูป 532,000
กระดาษทำการสำหรับธุรกิจอุตสาหกรรม
ขั้นตอนการจัดทำกระดาษทำการนั้น จะเหมือนกับการจัดทำกระดาษทำการของธุรกิจซื้อขายสินค้า สิ่งที่แตกต่างกันก็คือบัญชีที่เกี่ยวข้องกับการคำนวณต้นทุนการผลิตเท่านั้น โดยในกระดาษทำการจะเพิ่มช่องงบต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 1 ช่อง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น